วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2554
การรู้สารสนเทศ
๑.ความหมาย
ในสังคมปัจจุบันซึ่งเป็นแหล่งสารสนเทศ บุคคลในสังคมจึงจำเป็นต้องรับรู้ข้อมูลข่าวสารอย่างท่วมท้น บุคคลจำเป็นต้องมีการพัฒนาตนเอง เพื่อรับรู้ข้อมูลข่าวสารได้อย่างเหมาะสมและถูกต้อง คนในสังคมปัจจุบันจึงต้องมีการเรียนรู้ตลอดเวลา เพื่อเท่าทันในข้อมูลข่าวสารที่หลากหลาย
ดังนั้นการรู้สารสนเทศของบุคคล จะช่วยส่งเริมให้บุคคลสามารถเข้าถึงสารสนเทศจากทั่วทุกมุมโลก และนำสารสนเทศออกเป็นความรู้ เพื่อนำไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นับเป็นกาส่งเสริมเสรีภาพในการเรียนรู้ของทุกคนอย่างแท้จริง
๒. ความเป็นมา
การรู้สารสนเทศ ( Information Literacy ) เป็นคำทีพบในบริบทต่าง ๆ ทั้งในและนอกประเทศสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และอังกฤษ ซึ่งในประเทศอังกฤษถือได้ว่า ทักษะสารสนเทศ การรู้สารสนเทศ หรือ ทักษะสารสนเทศเกิดขึ้นในราวต้นคริสต์ศักราช ๑๙๗๔ และได้ใช้คำทั้งสองร่วมกันและบางครั้งได้ใช้ในความหมายเดียวกัน โดยการรู้สารสนเทศครอบคลุม ความสามารถในการเข้าถึง การกำหนด การประเมินและการใช้สารสนเทศจากแหล่งต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิผล
การรู้สารสนเทศจึงเป็นเป้าหมายการเรียนรู้สำคัญของบุคคล การรู้สารสนเทศต้องอาศัยความสามารถในการเข้าถึง ประเมิน และการใช้สารสนเทศ การรู้สารสนเทศจึงเป็นองค์ประกอบสำคัญในการ
สร้างคุณลักษณะให้บุคคลเป็นบุคคลมีความรู้ มีความคิดวิเคราะห์ มีคามสามารถด้านสารสนเทศ และช่วยให้บุคคลเป็นผู้เรียนตลอดชีวิต
๓. องค์ประกอบของการเรียนรู้สารสนเทศ
องค์ประกอบของการเรียนรู้สารสนเทศประกอบด้วย ความเข้าใจ และความสามารถส่วนบุคคลที่ตระหนักถึงความจำเป็นของสารสนเทศโดยต้องมีความสามารถดังต่อไปนี้
๑. ความสามารถในการเข้าถึงสารสนเทศ ประกอบด้วยความสามารถทางกายภาพ และสติปัญญาในการเข้าถึงสารสนเทศ ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยี
๒.ความสามารถในการประเมินสารสนเทศ ประกอบด้วยความสามารถในการสังเคราะห์ หรือตีความสามารถตัดสินได้ว่าแหล่งใดมีความน่าเชื่อถือ
๓.ความสารถในการใช้สารสนเทศ ประกอบด้วยความเข้าใจประเด็นทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม รวมถึงมารยาทการใช้สารสนเทศ
๔. คุณลักษณะและความสามารถในการรู้สารสนเทศ
Sony council of Library Directors Information Literacy Initiative 2003 ได้เสนอคุณลักษณะและความสามารถในการรู้สารสนเทศของบุคคลดังนี้
๑. ตระหนักถึงความจำเป็นของสารสนเท
๒. สามารถกำหนดขอบเขตของสารสนเทศที่จำเป็น
๓. เข้าถึงสารสนเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
๔. นำสารสนเทศที่คัดสรรแล้วสู่พื้นความรู้เดิม
๕. มีประสิทธิภาพในการใช้สารสนเทศได้ตรงตามวัตถุประสงค์
๖. เข้าใจประเด็นทางเศรษฐกิจทางสังคมวัฒนธรรมและกฎหมายในการใช้สารสนเทศ
๗. ประเมินสารสนเทศและแหล่งสารสนเทศได้
๘. เข้าถึงสารสนเทศได้อย่างมีจริยธรรมและถูกกฎหมาย
๙. แบ่งประเภทจัดเก็บและสร้างความเหมาะสมให้กับสารสนเทศที่รวบรวมไว้
๑๐. ตระหนักว่าการรูสารสนเทศช่วยให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต
๕. มาตรฐานของผู้รู้สารสนเทศ
Amerrican Association of school librarians & Association for Education Communication and Technology 2004 ได้เสนอมาตรฐาน ของผู้รู้ไว้ ๓ ระดับด้วยกัน กล่าวคือ มาตรฐานทั่วไป ประกอบด้วยมาตรฐานที่ ๑-๓ การเรียนรู้อย่างอิสระประกอบด้วยมาตรฐานที่ ๔-๖ และความรับผิดชอบต่อังคมประกอบด้วยมาตรฐานที่ ๗-๘
๖. แนวทางการส่งเสริมการรู้สารสนเทศ
แนวทางการส่งเสริมการรู้สารสนเทศมีหลายแนวทาง หากแนวทางที่มีรูปธรรมชัดเจนจากประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย มีการนำไปประยุกต์เพื่อการเรียนการสอนทักษะสารสนเทศในสถาบันต่าง ๆ
สำหรับในประเทศงานวิจัยการพัฒนารูปแบบการรู้สารสนเทศสำหรับสังคมไทย ได้สังเคราะห์และพัฒนารูปแบบการรู้สารสนเทศสำหรับสังคมไทยขึ้นโดยมีพื้นฐานจาก The 6 Skill Model
๗. ประโยชน์ของการรู้สารสนเทศ
จากผลการวิจัยการพัฒนารูปแบบการเสริมสร้างการรู้สารสนเทศสำหรับสังคมไทยจำเป็นต้องใช้สารสนเทศ และสามารถค้นหาประเมินใช้ และ สื่อสารสารสนเทศที่ต้องการได้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อการแก้ปัญหาหรือเพื่อการตัดสินใจผู้เรียนที่มีลักษณะเป็นผู้รู้สารสนเทศ ความสำคัญของการรู้สารสนเทศ เนื่องจากสารสนเทศที่เข้ามาสู่บุคคลในรูปแบบต่าง ๆ นั้นเป็นสารสนเทศทั้งที่ผ่านการกลั่นกรองเป็นอย่างดี และ ไม่ได้มีการกลั่นกรอง จึงทำให้ผู้เรียนรู้ต้องพิจารณาเลือกสารสนเทศ การรู้สารสนเทศกับการเปลี่ยนแปลงการเรียนการสอน ในยุคสารสนเทศซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี และ มีสารสนเทศใหม่ ๆ เกิดขึ้นรวดเร็วมาก
วันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2554
การจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน เรื่องแนวคิดและแนวโน้มเกี่ยวกับข้อมูลสารสนเทศยุคใหม่
๑.ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับสารสนเทศ
ดังที่กล่าวมาแล้นนั้นว่าสารสนเทศมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการดำเนินชีวิต การบริหารการจัดการ และใช้ในการวินิจฉัยสั่งการ รวมทั้งใช้ในการตัดสินใจในการทำงานและดำเนินชีวิต ฮะนั้นเพื่อประโยชน์ในการใช้งานสารสนเทศ จึงต้องทำความเข้าใจคุณสมบัติ ดังนี้
๑.สามารถเข้าถึงได้ง่าย (Accessibbility) หมายถึงความสะดวกรวดเร็วในการเข้าถึงสารสนเทศ
๒.มีความถูกต้อง (Accurate) สารสนเทศที่ดีต้องมีความเที่ยงตรง
๓.มีความครบถ้วน (Completeness) สารสนเทศที่ดีต้องมีความสมบูรณ์ที่จะช่วยในการตัดสินใจ
๔. มีความเหมาะสม (Appropriateness) พิจารณาถึงการได้รับสารสนเทศตรงกับความต้องการของผู้ใช้มากน้อยเพียงใด
๕. ความทันต่อเวลา (Timeliness) สารสนเทศต้องได้มาให้ทันต่อเวลาในการใช้งาน
๖. ความชัดเจน (Clarity) คือสารสนเทศที่ไม่ต้องมีการตีความ ไม่กำกวม ชัดเจน
๗.ความยืดหยุ่น (Flexibility) เป็นการนำสารสนเทศไปปรับใช้ได้ในทุกสถานการณ์
๘. ความสามารถในการพิสูจน์ได้ (Verrifiability) ขึ้นอยู่กับแหล่งที่มาของสารสนเทศว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบในการผลิต หมายความว่าสารสนเทศนั้นต้องมาพิสูจน์หรือตรวจสอบได้
๙. ความซ้ำซ้อน (Redundancy) สารสนเทศที่ได้รับนั้น มีความซ้ำซ้อน หรือมากเกินความจำเป็น ดังนั้น สารสนเทศที่ดีต้องไม่มีความซ้ำซ้อน
๑๐.ความไม่ลำเอียง (Bias) ลักษณะสารสนเทศที่ผลิตขึ้นไม่มีเจตนาในการเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขสารสนเทศตามที่ได้กำหนดไว้ล่วงหน้า
๖. แหล่งสารสนเทศและทรัพยากรสารสนเทศ
ด้วยปัจจุบันนี้เป็นยุคข้อมูลข่าวสาร และความรู้หรือบางคนอาจกล่าวว่าเป็นยุคของสารสนเทศนั่นเอง ที่มีการค้นคว้าวิจัย และทดลองในสาขาวิชาต่างๆมากมาย ทำให้เกิดความต้องการใช้ข้อมูลข่าวสาร สารสนเทศมากขึ้น ประกอบกับความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่เอื้ออำนวยให้เพิ่มปริมาณสารสนเทศได้อย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกันหลายๆ คนอาจจะมีการเรียกอีกอย่างหนึ่งว่ายุคแห่งการสื่อสารไร้พรมแดนที่มีการแข่งขันทางด้านข้อมูลข่าวสารอย่างแท้จริง ผู้ที่สามารถรับทราบข้อมูลข่าวสารจากทุกสารทิศได้มากที่สุดและรู้จักนำข้อมูลทุ้งหลายเหล่านั้นมาประมวลผลเพื่อประกอบการตัดสินใจ ในการดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ว่าทางสังคมเศรษฐกิจ การศึกษาธุรกิจต่างๆ ดังที่มีผู้กล่าวในเวปนองไทยนิวส์ว่า " ในโลกยุคดิจิตอลหรือข่าวสังคม ข้อมูลข่าวสารแทรกไปอยู่ในชีวิตประจำวันของคน เราต้องรู้จักใช้ข่าวสารให้เกิดประโยชน์แก่การดำเนินชีวิตของตัวเอง
๒.ความหมายของสารสนเทศ
สารสนเทศ หรือ สารนิเทศ ( imformation ) เป็นคำเดียวกันซึ่งสามารถให้ความหมายกว้างๆ ว่าหมายถึงข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ เรื่องราว ข้อเท็จจริงที่ปรากฎที่เกิดขึ้น
๓.ความสำคัญของสารสนเทศ
สารสนเทศเป็นปัจจัยที่สำคัญในโลกปัจจุบันนี้ ทั้งนี้เพราะการกำหนดแนวทางพัฒนา นโยบายทางด้านการพัฒนา การศึกษา สังคม และวัฒนธรรมมีความสำคัญต่อการพัฒนามนุษ์ และสังคมเพื่อสร้างความรู้อันที่จะนำไปใช้ประโยชย์
๔.ประเภทของสารสนเทศ
การจำแนกประเภทของสารสนเทศได้มีการจำแนกเป็น ตามแหล่งสารสนเทศและตามสื่อที่จัดเก็บดังนี้คือ
๑.สารสนเทศจำแนกตำแหน่งตามแหล่งสารสนเทศ เป็นการจำแนกสารสนเทศตามการรวบรวมหรือจัดกระทำสารสนเทศ จำแนกได้ดังนี้
-แหล่งปฐมภูมิ ( Primary source) สารสนเทศที่ได้มาจากต้นแหล่งโดยตรง
-แหล่งทุติยภูมิ (secondary source) สารสนเทศที่มีการรวบรวน เรียบเรียงขึ้นใหม่
-แหล่งตติยภูมิ (tertiary sourcr ) สารสนเทศที่จัดทำขึ้นเพื่อใช้ในการค้นหาสารสนเทศจากแหล่งปฐมภูมิ และทุติยภูมิ จะไม่ได้เนื้อหาสาระโดยตรง แต่จะมีประโยชน์ในการค้นหาสารสนเทศที่ให้ความรู้เฉพาะสาขาวิชา ได้แก่ บรรณานุกรม นามานุกรม
๒.สารสนเทศจำแนกตามสื่อที่จัดเก็บที่เป็นการจำแนกสารสนเทศตามชนิดของสื่อที่ใช้ในการบันทึกข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ได้แก่กระดาษ วัสดุย่อส่วน สื่ออิเล็กทรอนิกส์ และสื่อแสง
๒.สารสนเทศจำแนกตามสื่อที่จัดเก็บที่เป็นการจำแนกสารสนเทศตามชนิดของสื่อที่ใช้ในการบันทึกข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ได้แก่กระดาษ วัสดุย่อส่วน สื่ออิเล็กทรอนิกส์ และสื่อแสง
-กระดาษ เป็นสื่อที่ใช้บันทึกข้อมูล สารสนเทศ ที่ใช้ง่ายต่อการบันทึก
-วัสดุย่อส่วน เป็นสื่อที่ถูกสำเนาย่อส่วนลงมาบนแผ่นฟิล์มชนิดต่างๆ ทั้งเป็นม้วนและเป็นแผ่นมีการจัดเรียงลำดับตามเนื้อหา
-สื่ออิเล็กทรอนิกส์ หรือสื่อแม่เหล็ก เป็นวัสดุสังเคราะห์เคลือบด้วยสารแม่เหล็ก สามารถบันทึกแก้ไขข้อมูลได้สะดวก
-สื่อแสงหรือสื่อออปติก (Optical media) เป็นสื่อที่ใช้ในการบันทึกข้อมูลและอ่านข้อมูลด้วยแสงเลเซอร์ เช่น ซีดี-รอม ดีวีดี เป็นต้น
๕.คุณสมบัติของสารสนเทศ
-วัสดุย่อส่วน เป็นสื่อที่ถูกสำเนาย่อส่วนลงมาบนแผ่นฟิล์มชนิดต่างๆ ทั้งเป็นม้วนและเป็นแผ่นมีการจัดเรียงลำดับตามเนื้อหา
-สื่ออิเล็กทรอนิกส์ หรือสื่อแม่เหล็ก เป็นวัสดุสังเคราะห์เคลือบด้วยสารแม่เหล็ก สามารถบันทึกแก้ไขข้อมูลได้สะดวก
-สื่อแสงหรือสื่อออปติก (Optical media) เป็นสื่อที่ใช้ในการบันทึกข้อมูลและอ่านข้อมูลด้วยแสงเลเซอร์ เช่น ซีดี-รอม ดีวีดี เป็นต้น
๕.คุณสมบัติของสารสนเทศ
ดังที่กล่าวมาแล้นนั้นว่าสารสนเทศมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการดำเนินชีวิต การบริหารการจัดการ และใช้ในการวินิจฉัยสั่งการ รวมทั้งใช้ในการตัดสินใจในการทำงานและดำเนินชีวิต ฮะนั้นเพื่อประโยชน์ในการใช้งานสารสนเทศ จึงต้องทำความเข้าใจคุณสมบัติ ดังนี้
๑.สามารถเข้าถึงได้ง่าย (Accessibbility) หมายถึงความสะดวกรวดเร็วในการเข้าถึงสารสนเทศ
๒.มีความถูกต้อง (Accurate) สารสนเทศที่ดีต้องมีความเที่ยงตรง
๓.มีความครบถ้วน (Completeness) สารสนเทศที่ดีต้องมีความสมบูรณ์ที่จะช่วยในการตัดสินใจ
๔. มีความเหมาะสม (Appropriateness) พิจารณาถึงการได้รับสารสนเทศตรงกับความต้องการของผู้ใช้มากน้อยเพียงใด
๕. ความทันต่อเวลา (Timeliness) สารสนเทศต้องได้มาให้ทันต่อเวลาในการใช้งาน
๖. ความชัดเจน (Clarity) คือสารสนเทศที่ไม่ต้องมีการตีความ ไม่กำกวม ชัดเจน
๗.ความยืดหยุ่น (Flexibility) เป็นการนำสารสนเทศไปปรับใช้ได้ในทุกสถานการณ์
๘. ความสามารถในการพิสูจน์ได้ (Verrifiability) ขึ้นอยู่กับแหล่งที่มาของสารสนเทศว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบในการผลิต หมายความว่าสารสนเทศนั้นต้องมาพิสูจน์หรือตรวจสอบได้
๙. ความซ้ำซ้อน (Redundancy) สารสนเทศที่ได้รับนั้น มีความซ้ำซ้อน หรือมากเกินความจำเป็น ดังนั้น สารสนเทศที่ดีต้องไม่มีความซ้ำซ้อน
๑๐.ความไม่ลำเอียง (Bias) ลักษณะสารสนเทศที่ผลิตขึ้นไม่มีเจตนาในการเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขสารสนเทศตามที่ได้กำหนดไว้ล่วงหน้า
๖. แหล่งสารสนเทศและทรัพยากรสารสนเทศ
แหล่งสารสนเทศ หมายถึงแหล่งที่เกิด แหล่งที่ ผลิต หรือแหล่งจักเก็บและให้บริการทรัพยากรทางสารสนเทศ ในรูปแบบที่หลากหลายอย่างเป็นระบบและยังเป็นแหล่งที่ทำการอนุรักษณ์ทรัพย์สินทางปัญญาโดยมีบทบาทหน้าที่เพื่อการบริการสารสนเทศและส่งเสริมการค้นคว้าแก่ผู้ต้องการสารสนเทศในระดับต่างๆ โดยแบ่งได้ดังนี้
- แหล่งสารสนเทศที่เป็นสถาบัน หมายถึงสถานที่ตั้งขึ้นมาเพื่อจัดหาสารสนเทศชนิดต่างๆ มาเก็บไว้ในระบบ
- แหล่งสารสนเทศที่เป็นสถานที่ คือ แหล่งสารสนเทศที่เป็นสถานที่จริง
- แหล่งสารสนเทศที่เป็นบุคคล ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญ ผู้รอบรู้ในสาขาวิชานั้น ๆ
- แหล่งสารสนเทศที่เป็นเหตุการณ์ ได้แก่ กิจกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้น
- แหล่งสารสนเทศสื่อมวลชน ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลที่มุ่งเผยแพร่ทางสารสนเทศ
- แหล่งสารสนเทศที่เป็นอินเทอร์เน็ต เป็นแหล่งสารสนเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทั้งนี้เนื่องจากทั้งหน่วยงานของรัฐ เอกชน รวมทั้งหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาค้นคว้า การค้าขาย
๗.ทรัยยากรสารสนเทศ (Information Resources or Information Materials )
ทรัพยากรสารสนเทศหมายถึง วัสดุที่ใช้บันทึกข้อมูลข่าวสาร สารสนเทศ ความรู้ และความคิดต่าง ๆ หรืออาจเรียกว่า วัสดดุสารสนเทศ แบ่งออกเป็น ๓ ลักษณะ คือ ทรัพยากรตีพิมพ์ ทรัพยากรไม่ตีพิมพ์ และสื่ออิเล็กทรอนิกส์
๑. ประเภทและชนิดของทรัพยากรสารสนเทศ
-ทรัพยากรตีพิมพ์ หมายถึงวัสดุที่บันทึกสารสนเทศในรูปแบบของตัวอักษร ภาพและสัญลักษณ์อื่น ๆ โดยผ่านกระบวนการตีพิมพ์ เช่น หนังสือ วารสาร หนังสือพิมพ์ กฤตภาค เป็นต้น วัสดุตีพิมพ์จัดแยกประเภทตามลักษณะรูปเล่มและวัตถุประสงค์ในการจัดทำได้ดังนี้
- หนังสือ หนังสือเป็นสิ่งพิมพ์ที่รวบรวมสารสนเทศทั้งทางด้านวิชาการ สารคดีและบันเทิงคดี ให้เนื้อหาที่จบบริบูรณ์ในเล่มเดียวหรือหลายเล่มที่เรียกว่า หนังสือชุด ประเภทของหนังสือจัดแยกตามลักษณะเนื้อหา
- วารสาร วารสารเป็นสิ่งพิมพ์ที่ออกตามกำหนดระยะเวลาอย่างสม่ำเสมอ เช่น รายสัปดาห์ รายปักษ์ (สองสัปดาห์) หรือรายเดือน ให้สารสนเทศในรูปแบบ “บทความ” จากผู้แต่งหลายคน เนื้อหาสาระอาจเป็นเรื่องในสาขาวิชาเดียวกัน หรือรวมเรื่อง
๒.ทรัพยากรไม่ตีพิมพ์
คือทรัพยากรสารสนเทศที่มีลักษณะสำคัญิที่แตกต่างจากทรัพยากรตีพิมพ์ ที่ให้สารสนเทศ ควารู้โดยผ่านประสาทสัมผัสทางหู ตา ด้วยการดูและการฟัง ทำให้สื่อความหมาย เข้าใจง่าย
- แหล่งสารสนเทศที่เป็นสถาบัน หมายถึงสถานที่ตั้งขึ้นมาเพื่อจัดหาสารสนเทศชนิดต่างๆ มาเก็บไว้ในระบบ
- แหล่งสารสนเทศที่เป็นสถานที่ คือ แหล่งสารสนเทศที่เป็นสถานที่จริง
- แหล่งสารสนเทศที่เป็นบุคคล ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญ ผู้รอบรู้ในสาขาวิชานั้น ๆ
- แหล่งสารสนเทศที่เป็นเหตุการณ์ ได้แก่ กิจกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้น
- แหล่งสารสนเทศสื่อมวลชน ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลที่มุ่งเผยแพร่ทางสารสนเทศ
- แหล่งสารสนเทศที่เป็นอินเทอร์เน็ต เป็นแหล่งสารสนเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทั้งนี้เนื่องจากทั้งหน่วยงานของรัฐ เอกชน รวมทั้งหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาค้นคว้า การค้าขาย
๗.ทรัยยากรสารสนเทศ (Information Resources or Information Materials )
ทรัพยากรสารสนเทศหมายถึง วัสดุที่ใช้บันทึกข้อมูลข่าวสาร สารสนเทศ ความรู้ และความคิดต่าง ๆ หรืออาจเรียกว่า วัสดดุสารสนเทศ แบ่งออกเป็น ๓ ลักษณะ คือ ทรัพยากรตีพิมพ์ ทรัพยากรไม่ตีพิมพ์ และสื่ออิเล็กทรอนิกส์
๑. ประเภทและชนิดของทรัพยากรสารสนเทศ
-ทรัพยากรตีพิมพ์ หมายถึงวัสดุที่บันทึกสารสนเทศในรูปแบบของตัวอักษร ภาพและสัญลักษณ์อื่น ๆ โดยผ่านกระบวนการตีพิมพ์ เช่น หนังสือ วารสาร หนังสือพิมพ์ กฤตภาค เป็นต้น วัสดุตีพิมพ์จัดแยกประเภทตามลักษณะรูปเล่มและวัตถุประสงค์ในการจัดทำได้ดังนี้
- หนังสือ หนังสือเป็นสิ่งพิมพ์ที่รวบรวมสารสนเทศทั้งทางด้านวิชาการ สารคดีและบันเทิงคดี ให้เนื้อหาที่จบบริบูรณ์ในเล่มเดียวหรือหลายเล่มที่เรียกว่า หนังสือชุด ประเภทของหนังสือจัดแยกตามลักษณะเนื้อหา
- วารสาร วารสารเป็นสิ่งพิมพ์ที่ออกตามกำหนดระยะเวลาอย่างสม่ำเสมอ เช่น รายสัปดาห์ รายปักษ์ (สองสัปดาห์) หรือรายเดือน ให้สารสนเทศในรูปแบบ “บทความ” จากผู้แต่งหลายคน เนื้อหาสาระอาจเป็นเรื่องในสาขาวิชาเดียวกัน หรือรวมเรื่อง
๒.ทรัพยากรไม่ตีพิมพ์
คือทรัพยากรสารสนเทศที่มีลักษณะสำคัญิที่แตกต่างจากทรัพยากรตีพิมพ์ ที่ให้สารสนเทศ ควารู้โดยผ่านประสาทสัมผัสทางหู ตา ด้วยการดูและการฟัง ทำให้สื่อความหมาย เข้าใจง่าย
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)